วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

สรุป
หลักอปริหานิยธรรม หรือ ลิจฉวีอปริหานิยธรรม
หลักอปริหานิยธรรม คือ ข้อปฏิบัติหรือธรรมอันเป็นเหตุไม่ให้เกิดความเสื่อมมี    ข้อ เป็นหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ โดยตรัสสั่งสอนเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี และตรัสสั่งสอนเหล่าภิกษุที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
หลักอปริหานิยธรรมสำหรับฝ่ายคฤหัสถ์ มีดังนี้
๑.  หมั่นประชุมกันเนือง ๆ
๒.  ประชุมหรือเลิกประชุม และทำกิจของส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน
๓.  ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้วยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
๔.  เคารพนับถือเชื่อฟังและให้เกียรติแก่ผู้เป็นประธาน ผู้บริหารหมู่คณะ และปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
๕. ให้เกียรติ ให้ความปลอดภัยแก่สตรีเพศ ไม่ข่มเหงฉุดคร่า
๖.   เคารพนับถือบูชาพระเจดีย์ทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกเมือง และไม่บั่นทอนผลประโยชน์ที่เคยอุปถัมภ์บำรุงพระเจดีย์เหล่านั้น
๗.  จัดการอารักขาโดยธรรมแก่พระอริยะ ด้วยตั้งความปรารถนาว่า พระอริยะเหล่านี้ที่ยังไม่มาสู่บ้านนี้เมืองนี้ขอให้มา ส่วนที่มาแล้วขอให้ท่านอยู่ผาสุก
หลักอปริหานิยธรรมสำหรับฝ่ายศาสนจักร หรือฝ่ายภิกษุสงฆ์
ที่ตรัสสั่งสอนเหล่าภิกษุสงฆ์ใน    ข้อแรกนั้นเหมือนกับที่ตรัสแก่เจ้าลิจฉวี มีแตกต่างกัน  ๓ ข้อสุดท้าย ซึ่งอปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุนั้นมี ๒ นัย
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๑
       ๑.  หมั่นประชุมกันเนือง ๆ
       ๒.  ประชุมหรือเลิกประชุม และทำกิจของส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน
       ๓.  ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้วยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
       ๔.  เคารพนับถือเชื่อฟังและให้เกียรติแก่ผู้เป็นประธาน ผู้บริหารหมู่คณะ และปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
       ๕. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น คือไม่ลุแก่ตัณหาอันจะก่อให้เกิดภพใหม่
       ๖.  ยินดีในความสงบ สันโดษ หมายถึงการยินดีในการอยู่ป่า
       ๗. ตั้งใจอยู่เสมอว่า พระภิกษุสามเณรผู้มีศีลที่ยังไม่มาสู่อาวาสขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่ผาสุก
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๒
       ๑.  ไม่เป็นผู้ชอบการงาน ไม่ยินดีแล้วในการงาน
       ๒.  ไม่เป็นผู้ชอบการคุย ไม่ยินดีแล้วในการคุย
       ๓.  ไม่เป็นผู้ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดีแล้วในการนอนหลับ
       ๔.  ไม่เป็นผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีแล้วในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
       ๕.  ไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก
       ๖.  เป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว สหายชั่ว หรือคบคนชั่ว
       ๗.  ไม่ถึงความนอนใจในระหว่าง เพราะการบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๓
       ๑.  เป็นผู้มีศรัทธา
       ๒.  เป็นผู้มีใจประกอบด้วยหิริ
       ๓.  เป็นผู้มีโอตัปปะ
       ๔.  เป็นพหูสูต
       ๕.  เป็นผู้ปรารถนาความเพียร
       ๖.  เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
       ๗.  เป็นผู้มีปัญญา
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๔
       ๑.  เจริญสติสัมโพชฌงค์
       ๒.  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
       ๓.  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
       ๔.  เจริญปิติสัมโพชฌงค์
       ๕.  เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
       ๖.  เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
       ๗.  เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๕
       ๑.  เจริญอนิจจสัญญา
       ๒.  เจริญอนัตตสัญญา
       ๓.  เจริญอสุภสัญญา
       ๔.  เจริญอาทีนวสัญญา
       ๕.  เจริญปหานสัญญา
       ๖.  เจริญวิราคสัญญา
       ๗.  เจริญนิโรธสัญญา
อปริหานิยธรรม ๖ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๕
       ๑.  เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๒.  เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๓.  เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๔.  แบ่งปันลาภอันเป็นธรรมที่ได้มาโดยธรรม แก่เพื่อนพรหมจรรย์
       ๕.  มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ
       ๖.  มีทิฐีเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

คณะผู้จัดทำ

นางสาวกัญญาพัชร  แผ้วพลสง  รหัสนักศึกษา  6240107201
นางสาวเบญจวรรณ  กกสูงเนิน   รหัสนักศึกษา  6240107212
หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย  ชั้นปีที่ 1 หมู่เรียนที่ 2


โครงของเรื่อง

เริ่มต้นด้วยกษัตริย์แคว้นหนึ่งต้องการแผ่อำนาจเข้าครอบครองแคว้นใกล้เคียงแต่กษัตริย์ผู้ครองแคว้นนั้นยึดมั่นในอปริหานิยธรรมมีความสามัคคีปรองดองมั่นคงกษัตริย์ผู้ต้องการแผ่อำนาจจึงต้องใช้อุบายส่งพราหมณ์ปุโรหิตของตนเข้าไปเป็นไส้ศึกหาวิธีทำลายความสามัคคีของกษัตริย์แคว้นนั้นเสียก่อนแล้วจึงยกทัพเข้าโจมตีพราหมณ์ปโรหิตใช้เวลาถึง 3 ปีจึงดำเนินกลอุบายทำลายความสามัคคีได้สำเร็จกษัตริย์แคว้นนั้นก็แผ่อำนาจเข้าครอบครองแคว้นข้างเคียงเป็นผลสำเร็จ

บรรณานุกรม

กระทรวงศึกษาธิการ. 2557. วรรณคดีวิจักษ์.พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สกสค.ลาดพร้าว.

สุธีร์  พุ่มกุมาร.2556. สามัคคีเภทพิจารณ์. กรุงเทพฯ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
หลักธรรมอปริหานิยธรรม 7 

อปริหานิยธรรม 7
      อปริหานิยธรรม 7 หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม 7 ประการ ผู้ปฏิบัติ ธรรมนี้จะเป็นไปเพื่อความเจริญทั้งฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายสงฆ์ คือ
ฝ่ายบ้านเมือง
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ การอยู่ร่วมกัน การทำงานร่วมกันของคนในสังคมจะต้องมีการพบปะ ประชุมปรึกษาหารือกันสม่ำเสมอ เพื่อแก้ไขปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับในเหตุผลที่ถูกต้องที่เป็นประโยชน์ เพื่อความเข้าใจที่ดีต่อกันของทุกคนในสังคมซึ่งความเจริญไม่เกิดความเสื่อมในทุกกรณี เช่น ในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก มีอะไรพูดกันปรึกษากัน ลูกก็จะอบอุ่น ปัญหาลูกไปติดยาเสพย์ติด ก็จะไม่เกิดขึ้น ในสถานที่ทำงาน หัวหน้ามีการประชุมปรึกษากับผู้ร่วมงานทุกครั้ง งานก็จะราบรื่น หากมีข้อผิดพลาด ทุกคนก็จะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมและกระทำกิจที่ควรทำ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหมู่คนที่อยู่รวมกันไม่กินแหนงแคลงใจกัน จะทำงานอะไรก็สำเร็จได้ เช่นในครอบครัวมีอะไรปรึกษาหารือกันก็ต้องอยู่พร้อมๆ กันเพื่อทุกคนจะได้ยอมรับในสิ่งที่จะทำลงไปด้วยความเต็มใจ

3. ไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติและไม่เลิกล้มสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว เช่น บ้านเมืองจะสงบสุขได้ ทุกคนจะต้องบัญญัติและไม่ล้มเลิก ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ของคณะและสังคมตามความพอใจของตนหรือของกลุ่มโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ตัวอย่าง เช่น นักเรียนจะต้องแต่งเครื่องแบบของโรงเรียนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะแต่งกายตามใจตนเองไม่ได้
4. เคารพนับถือผู้ใหญ่การเคารพและรับฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะผู้ใหญ่เกิดก่อน ผ่านประสบการณ์มามากกว่า ประกอบกับการอยู่ร่วมกันในสังคมต้องมีผู้นำ ถ้าเราให้การเคารพและเชื่อฟังผู้นำ สังคมก็จะไม่วุ่นวาย เช่น ถ้าลูกเชื่อฟังพ่อ แม่ ก็จะเป็นคนดีได้เพราะไม่มีพ่อแม่คนไหน อยากลูกตนเองให้ชั่ว
5. ไม่ข่มเหงล่วงเกินสตรี สตรีถือว่าเป็นเพศแม่ เป็นเพศที่อ่อนแอ บุรุษควรให้เกียรติให้ การยกย่อง ปกป้องไม่ให้ใครละเมิดสิทธิหรือข่มเหงรังแก ถ้าสังคมใดๆ ผู้หญิงถูกฉุดคร่าข่มขืน มากๆ ความเสื่อมก็จะเกิดกับสังคมนั้น
6. สักการะเคารพเจดีย์ หมายถึงการให้ความเคารพและปกป้องรักษาปูชนียสถานที่สำคัญในศาสนา เพื่อจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของกลุ่มคนในหมู่คณะที่อยู่ร่วมกันและระลึกถึงกันเช่น การเคารพพระปฐมเจดีย์
7. ให้การอารักขา คุ้มครอง อันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ คือการคุ้มครองบรรพชิตซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไป เช่นการทำบุญด้วยปัจจัย 4 เป็นต้น
ฝ่ายพระสงฆ์
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ในกิจของสงฆ์ที่ต้องทำร่วมกันไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ เช่น การทำอุโบสถสังฆกรรม
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมและทำกิจที่สงฆ์ต้องทำการประชุมถือว่าเป็นกิจที่สงฆ์ต้องทำร่วมกัน แต่การที่จะให้สงฆ์ทุกรูปยอมรับซึ่งกันและกัน เพื่อความสามัคคีก็จะต้องอาศัยความพร้อมเพรียงกันทุก ๆ ครั้ง เช่น การทำพิธีกรรมในงานมงคลนิยมใช้พระสงฆ์ 9 รูป ก็ต้องมาพร้อมกันจึงจะทำพิธีกรรมได้
3. ไม่บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มเลิกสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้ ถือว่าสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญที่พระสงฆ์จะต้องปฏิบัติตาม
4. เคารพนับถือและรับฟังถ้อยคำของภิกษุผู้ใหญ่ ในการปกครองของพระสงฆ์จะให้อำนาจแก่ผู้ที่มีความสามารถตามบรรดาศักดิ์ เช่น ภิกษุผู้ใหญ่สังฆบิดร สังฆปรินายก ภิกษุทุกรูปจะต้องปฏิบัติตามลำดับขั้นเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
5. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น เพราะพระสงฆ์ตัดแล้วซึ่งกิเลสตัณหา ความอยากมีอยากได้จะต้องไม่เกิดขึ้น จึงจะเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป
6. ยินดีในเสนาสนะอันควร คือพระสงฆ์ต้องมีชีวิตเรียบง่าย มุ่งแสวงหาธรรมเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้อื่น
7. ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณร เป็นผู้มีศีล ซึ่งยังไม่มาสู่อาวาสขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข คือ พระสงฆ์ต้องใจกว้างยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่และมีความปรารถนาดีต่อสมาชิกเก่า เพื่อสังคมสงฆ์จะได้ไม่เกิดความเสื่อม
ข้อคิดจากเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์

ข้อคิดที่ควรพิจารณา จากเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ 
1. การขาดการพิจารณาไตร่ตรอง  นำไปซึ่งความสูญเสีย ดังเช่น เหล่ากษัตริย์ลิจฉวี “ขาดการพิจารณาไตร่ตรอง” คือ ขาดความสามารถในการใช้ปัญญาตริตรองพิจารณาสอบสวน และใช้เหตุผลที่ถูกต้อง จึงหลงกลของวัสสการพราหมณ์ ถูกยุแหย่ให้แตกความสามัคคีจนเสียบ้านเสียเมืองในรัชกาลที่ 6 ด้วยเหตุที่คนไทยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการบ้านเมืองแตกต่างกันหลายฝ่าย  ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กวีจึงนิยมแต่งวรรณคดีปลุกใจขึ้นเป็นจำนวนมาก  สามัคคีเภทคำฉันท์เป็นเรื่องหนึ่งในจำนวนนั้น นายชิต บุรทัต  แต่งเรื่องนี้ขึ้น  โดยมุ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของความสามัคคี เพื่อบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง แต่ในปัจจุบันกระแสชาตินิยมลดลง  แต่ความสามัคคีก็เป็นหลักธรรมสำคัญในการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ  วรรณคดีเรื่องนี้จึงเป็นเนื้อหาที่มีคติสอนใจทันสมัยอยู่เสมอ
2. แนวคิดของเรื่องสามัคคีเภท  สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นนิทานสุภาษิตสอนใจให้เห็นโทษของการแตกความสามัคคี  และแสดงให้เห็นความสำคัญของการใช้สติปัญญาให้เกิดผลโดยไม่ต้องใช้กำลัง
3. ข้อคิดเห็นระหว่างวัสสการพราหมณ์กับกษัตริย์ลิจฉวี  บางคนอาจมีทรรศนะว่า วัสสการพราหมณ์ขาดคุณธรรม ใช้อุบายล่อลวงผู้อื่นเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่มองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า  วัสสการพราหมณ์น่ายกย่องตรงที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรูและต่อบ้านเมือง  ยอมถูกลงโทษเฆี่ยนตี  ยอมลำบาก  จากบ้านเมืองตนไปเสี่ยงภัยในหมู่ศัตรู  ด้องใช้ความอดทน  สติปัญญาความสามารถอย่างสูงจึงจะสัมฤทธิผลตามแผนการที่วางไว้ส่วนกษัตริย์ลิจฉวีเคยใช้หลักอปริหานิยธรรมร่วมกันปกครองแคว้นวัชชีให้มั่นคงเจริญมาช้านาน  แต่เมื่อถูกวัสสการพรามหณ์ใช้อุบายยุแหย่ให้แตกความสามัคคี ก็พ่ายแพ้ศัตรูได้โดยง่ายดาย
4. เรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ให้อะไรกับผู้อ่าน  ข้อคิดสำคัญที่ได้จากเรื่อง คือ โทษของการแตกความสามัคคี ส่วนแนวคิดอื่น ๆ มีดังนี้
    4.1 การใช้ปัญญาเอาชนะศัตรูโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
    4.2 การเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานจะทำให้งานสำเร็จได้ด้วยดี
    4.3 การใช้วิจารณญาณไตร่ตรองก่อนทำการใด ๆ เป็นสิ่งที่ดี
   4.4 การถือความคิดของตนเป็นใหญ่และทะนงตนว่าดีกว่าผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม

5. ศิลปะการประพันธ์ในสามัคคีเภทคำฉันท์ นายชิต บุรทัต  สามารถสร้างตัวละคร เช่น  วัสสการพราหมณ์ ให้มีบุคลิกเด่นชัด  และสามารถดำเนินเรื่องให้ชวนติดตาม  นอกจากนี้ ยังมีความเชี่ยวชาญในการแต่งคำประพันธ์ ดังนี้
    5.1 เลือกสรรฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละตอน เช่น ใช้วสันตดิลกฉันท์ 14 ซึ่งมีลีลาไพเราะ ชมความงามของเมืองราชคฤห์  ใช้อีทิสังฉันท์ 20 ซึ่งมีลีลากระแทกกระทั้นแสดงอารมณ์โกรธ
    5.2 ดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้ไพเราะยิ่งขึ้น เช่น เพิ่มสัมผัสบังคับคำสุดท้ายของวรรคแรกกับคำที่ 3 ของวรรคที่ 2 ในฉันท์ 11 ฉันท์ 12 และฉันท์ 14  เป็นที่นิยมแต่งตามมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ นายชิต บุรทัต  ยังเพิ่มลักษณะบังคับ ครุ ลหุ  สลับกันลงในกาพย์สุรางคนางค์ 28 ให้มีจังหวะคล้ายฉันท์ด้วย
    5.3 เล่นสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอย่างไพเราะ  เช่น  คะเนกล – คะนึงการ  ระวังเหือด – ระแวงหาย
    5.4 ใช้คำง่าย ๆ ในการเล่าเรื่อง  ทำให้ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว  และผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ทันที
    5.5 ใช้คำง่าย ๆ ในการบรรยายและพรรณนาดัวละครได้อย่างกระชับ  และสร้างภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจน 

การใช้คำให้เกิดภาพพจน์

1. การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง

    ในตอนแรกกษัตริย์ฉวีได้เป็นตัวอย่างของหมู่เหล่าที่มีความสามัคคีเช่นเดียวกับกับกิ่งไม้ที่รวมกันเป็นกำ ซึ่งยากในการที่จะทำลายได้ความว่า

แม้มากกิ่งไม้      ผิวใครจะใคร่ลอง
มัดกำกระนั้นปอง          พลหักก็เต็มทน


การเล่นคำ

การสรรคำ
เลือกใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง
1. คำที่เล่นเสียงสัมผัส
    - สัมผัสพยัญชนะ
    มีการเล่นเสียงพยัญชนะ เช่น “คะเนกล - คะนึงการ” “ระวังเหือด - ระแวงหาย” ดังตัวอย่างเช่น
ทิชงค์ชาติฉลาดยล   คะเนกลคะนึงการ
กษัตริย์ลิจวีวาร                 ระวังเหือดระแวงหาย
    - สัมผัสสระ
    มีการเล่นเสียงสระ เช่น “ประมาณ - กาล” “อนุกรม -นิยม” ดังตัวอย่างเช่น
ล่วงลุประมาณ    กาลอนุกรม
หนึ่ง ณ นิยม                 ท่านทวิชงค์
2. คำที่เล่นเสียงหนักเบา
    มีการเล่นเสียงหนักเบา เช่น “อัน” เป็นเสียงหนัก “รา” เป็นเสียงเบา ดังตัวอย่างเช่น
อันภูบดีราช          อชาตศัตรู
ได้ลิจฉวีภู                       วประเทศสะดวกดี
แลสรรพบรรดา      วรราชวัชชี
ถึงซึ่งพิบัติบี                     ฑอนัตถ์พินาศหนา
การใช้ฉันท์ที่เหมาะกับอารมณ์ของตอน
- อุปัฏฐิตาฉันท์ 11 ใช้ตอนกษัตริย์ลิจฉวีแตกสามัคคีวัสสการพราหมณ์ส่งข่าวทูลพระเจ้าอชาตศัตรู
เห็นเชิงพิเคราะห์    ชนะคล่องประสบสม
พราหมณ์เวทอุดม              ธ ก็ลอบแถลงการณ์
- วิชชุมมาลาฉันท์ 8 ลีลากระชั้น คึกคัก ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี
ตื่นตาหน้าเผือด      หมดเลือดสั่นกาย
หลบลี้หนีตาย                   วุ่นหวั่นพรั่นใจ
ซุกครอกซอกครัว     ซ่อนตัวตัวแตกภัย
เข้าดงพงไพร                     ทิ้งย่านบ้านตน
- ภุชงคประยาดฉันท์ 12 ลีลางดงาม ใช้ตอนวัสสการพราหมณ์เริ่มทำอุบายทำลายสามัคคี
กุมารราชมิตรผอง    ก็สอดคล้องและแคลงดาล
พิโรธกาจวิวาทการณ์           อุบัติเพราะขุ่นเคือง
วิชชุมมาลาฉันท์๘ ลีลากระชั้น คึกคัก ใช้ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพมาตีแคว้นวัชชี
จึ่งให้ตีกลอง          ป่าวร้องร้องทันที
แจ้งข่าวไฟรี                     รุกเบียนบีฑา
เพื่อหมู่ภูมี             วัชชีอาณา
ชุมนุมบัญชา                     ป้องกันฉันใด

3. การเรียบเรียงคำ
ในการเล่าเรื่องในตอนต่างๆ กวีใช้คำง่ายๆ ทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ทันที
ราชาลิจฉวี                 ไป่สีสักองค์
อันนึกจำนง                          เพื่อจักเสด็จไป
ต่างองค์ดำรัส               เรียกนัดทำไม
ใครเป็นใหญ่ใคร                     กล้าหาญเห็นดี
เชิญเทอญท่านต้อง        ขัดข้องข้อไหน
ปรึกษาปราศัย                       ตามเรื่องตามที
ส่วนเราเล่าใช่              เป็นใหญ่ยังมี
ใจอย่างผู้ภี                           รุกปราศอาจหาญ


คุณค่าของเรื่อง
คุณค่าด้านสังคม
การรักษาความสามัคคีธรรมในหมู่คณะให้คงอยู่ไว้ตาม หลัก อปริหานิยธรรม 7 ประการ
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ - การประชุมร่วมกันปรึกษาปัญหาและช่วยกันคิดหาทางแก้ไขปัญหา
2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ- มีความสามัคคีโดยเห็นพ้องในสิ่งๆเดียวกัน
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติเอาไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ถือปฏิบัติตามวัชชีธรรมตามที่วางไว้เดิม- ไม่ลบหลู่หรือไม่ทำต่างสิ่งที่คนหมู่มากได้เห็นพ้องร่วมกัน
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
นายชิต บุรทัต มีความเชี่ยวชาญในการประพันธ์อย่างยิ่ง เพราะ กวีสามารถเลือกสรรฉันท์ชนิดต่างๆมาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละตอน
-นอกจากนี้ในการเล่าเรื่อง กวียังใช้คำที่เข้าใจง่ายทำให้ดำเนินเรื่องไปอย่างรวดเร็วและเห็นภาพชัดเจน
-เล่นสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรอย่างไพเราะ
คุณค่าด้านจริยธรรม
-การเน้นหลักธรรม อปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม
-มีแนวคิดสอนให้คนเรารู้จักเห็นความสำคัญของการสามัคคีกันในหมู่คณะ
-การใช้ปัญญาให้เกิดประโยชน์โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสู้
-การใช้สติและวิจารณญาณในการเชื่อผู้อื่น ไม่ควรตัดสินใจเชื่อผู้อื่นง่ายๆ

รูปแบบการประพันธ์สามัคคีเภทคำฉันท์

แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนำฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อหาแต่ละตอน  
ประกอบด้วยฉันท์ 18 ชนิด ดังนี้ 
1. กมลฉันท์
2. จิตรปทาฉันท์
3. โตฏกฉันท์
4. ภุชงคประยาตฉันท์
5. มาณวกฉันท์
6. มาลินีฉันท์
7. วสันตดิลกฉันท์
8. วังสัฏฐฉันท์
9. วิชชุมมาลาฉันท์
10. สัททุลวิกกีฬิตฉันท์
11. สัทธราฉันท์
12. สาลินีฉันท์
13. อินทรวิเชียรฉันท์
14. อินทรวงศ์ฉันท์
15. อีทิสังฉันท์
16. อุปชาติฉันท์
17. อุปัฏฐิตาฉันท์
18. อุเปนทรวิเชียรฉันท์

ตัวอย่างฉันท์(บางชนิด)






กาพย์ 2 ชนิด คือ 
กาพย์ฉบัง 16 และ กาพย์สุรางคนางค์ 28


ตัวละครในเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์

1. พระเจ้าอชาตศัตรู
1.1 ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์
1.2 ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง  บ้านเมืองได้รับการทำนุบำรุงจนกระทั่งมีแสนยานุภาพ ประชาชนสุขสงบ มีมหรสพให้บันเทิง
1.3 ทรงมีพระราชดำริจะแผ่พระบรมเดชานุภาพ  โดยจะกรีธาทัพไปตีแคว้นวัชชี 
1.4 ทรงมีความรอบคอบ  เมื่อทรงทราบว่าคณะกษัตริย์ลิจฉวียึดมั่นในสามัคคีธรรมจึงทรงมีพระราชดำริว่า
            ศึกใหญ่ใคร่จะพยายาม                     รบเร้าเอาตาม
กำลังก็หนักนักหนา
           จำจักหักด้วยปัญญา                            รอก่อนผ่อนหา
อุบายทำลายมูลความ
และทรงปรึกษาหารือกับวัสสการพราหมณ์  ซึ่งวัสสการพราหมณ์กราบทูลถึงวิธีการและดำเนินการจนสำเร็จ


2. วัสสการพราหมณ์
วัสสการพราหมณ์เป็นปุโรหิตแห่งแคว้นมคธ เป็นผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์
ลักษณะนิสัยของวัสสการพราหมณ์
2.1 รักชาติบ้านเมือง ยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ  เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงปรึกษากับวัสสการพราหมณ์เรื่องที่จะทรงแผ่พระบรมเดชานุภาพเอาเมืองวัชชีไว้ในครอบครองและวัสสการพราหมณ์กราบทูลกลอุบายและวิธีการนั้น  วัสสการพราหมณ์จะต้องกราบทูลขัดแย้งพระราชดำริของพระเจ้าอชาตศัตรูทำให้ถูกลงพระราชอาญาอย่างหนัก  แต่วัสสการพราหมณ์ก็ยอมรับ  ทั้งนี้เพื่อจะได้ไปอาศัยอยู่ที่แคว้นวัชชีและดำเนินอุบายทำลายความสามัคคีได้สะดวก
2.2 จงรักภักดีต่อพระเจ้าอชาตศัตรู 
2.3 วัสสการพราหมณ์เป็นคนเฉลียวฉลาด มีไหวพริบและรอบคอบในการดำเนินกลอุบายด้วยความเฉียบแหลมลึกซึ้ง รู้การควรทำและไม่ควรทำ รอจังหวะและโอกาส  การดำเนินงานจึงมีขั้นตอน  มีระยะเวลา  นับว่าเป็นคนมีแผนงาน ใจเย็น ดำเนินงานด้วยความรอบคอบ มีสติ เป็นคุณลักษณะที่ทำให้วัสสการพราหมณ์ดำเนินกลอุบายจนสำเร็จผล  เห็นได้ชัดเจนในขณะที่วัสสการพราหมณ์เข้าเฝ้าฯกษัตริย์ลิจฉวีและได้กล่าวสรรเสริญน้ำพระราชหฤทัยกษัตริย์ลิจฉวีทำให้เกิดความพอพระราชหฤทัย
2.4 มีความรอบคอบ  แม้ว่าวัสสการพราหมณ์จะรู้ชัดว่าบรรดากษัตริย์ลิจฉวีแตกความสามัคคีกันแล้ว  แต่ด้วยความรอบคอบก็ลองตีกลองเรียกประชุม  บรรดากษัตริย์ลิจฉวีก็ไม่เสด็จมาประชุมกันเลย ความเพียร  วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา 3 ปีในการดำเนินการเพื่อให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแตกสามัคคีกันซึ่งนับว่าต้องใช้ความเพียรอย่างมาก

3. กษัตริย์ลิจฉวี     
3.1  ทรงตั้งมั่นในธรรม  กษัตริย์ลิจฉวีล้วนทรงยึดมั่นในอปริหานิยธรรม (ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม) 7 ประการ
3.2 ขาดวิจารณญาณ  ทรงเชื่อพระโอรสของพระองค์ที่ทูลเรื่องราวซึ่งวัสสการพราหมณ์ยุแหย่โดยไม่ทรงพิจารณา
3.3 ทิฐิเกินเหตุ  แม้เมื่อบ้านเมืองกำลังจะถูกศัตรูรุกราน