วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

สรุป
หลักอปริหานิยธรรม หรือ ลิจฉวีอปริหานิยธรรม
หลักอปริหานิยธรรม คือ ข้อปฏิบัติหรือธรรมอันเป็นเหตุไม่ให้เกิดความเสื่อมมี    ข้อ เป็นหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ โดยตรัสสั่งสอนเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี และตรัสสั่งสอนเหล่าภิกษุที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
หลักอปริหานิยธรรมสำหรับฝ่ายคฤหัสถ์ มีดังนี้
๑.  หมั่นประชุมกันเนือง ๆ
๒.  ประชุมหรือเลิกประชุม และทำกิจของส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน
๓.  ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้วยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
๔.  เคารพนับถือเชื่อฟังและให้เกียรติแก่ผู้เป็นประธาน ผู้บริหารหมู่คณะ และปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
๕. ให้เกียรติ ให้ความปลอดภัยแก่สตรีเพศ ไม่ข่มเหงฉุดคร่า
๖.   เคารพนับถือบูชาพระเจดีย์ทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกเมือง และไม่บั่นทอนผลประโยชน์ที่เคยอุปถัมภ์บำรุงพระเจดีย์เหล่านั้น
๗.  จัดการอารักขาโดยธรรมแก่พระอริยะ ด้วยตั้งความปรารถนาว่า พระอริยะเหล่านี้ที่ยังไม่มาสู่บ้านนี้เมืองนี้ขอให้มา ส่วนที่มาแล้วขอให้ท่านอยู่ผาสุก
หลักอปริหานิยธรรมสำหรับฝ่ายศาสนจักร หรือฝ่ายภิกษุสงฆ์
ที่ตรัสสั่งสอนเหล่าภิกษุสงฆ์ใน    ข้อแรกนั้นเหมือนกับที่ตรัสแก่เจ้าลิจฉวี มีแตกต่างกัน  ๓ ข้อสุดท้าย ซึ่งอปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุนั้นมี ๒ นัย
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๑
       ๑.  หมั่นประชุมกันเนือง ๆ
       ๒.  ประชุมหรือเลิกประชุม และทำกิจของส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน
       ๓.  ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้วยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
       ๔.  เคารพนับถือเชื่อฟังและให้เกียรติแก่ผู้เป็นประธาน ผู้บริหารหมู่คณะ และปฏิบัติตามหลักธรรมที่บัญญัติไว้
       ๕. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น คือไม่ลุแก่ตัณหาอันจะก่อให้เกิดภพใหม่
       ๖.  ยินดีในความสงบ สันโดษ หมายถึงการยินดีในการอยู่ป่า
       ๗. ตั้งใจอยู่เสมอว่า พระภิกษุสามเณรผู้มีศีลที่ยังไม่มาสู่อาวาสขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่ผาสุก
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๒
       ๑.  ไม่เป็นผู้ชอบการงาน ไม่ยินดีแล้วในการงาน
       ๒.  ไม่เป็นผู้ชอบการคุย ไม่ยินดีแล้วในการคุย
       ๓.  ไม่เป็นผู้ชอบการนอนหลับ ไม่ยินดีแล้วในการนอนหลับ
       ๔.  ไม่เป็นผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีแล้วในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
       ๕.  ไม่เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไม่ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก
       ๖.  เป็นผู้ไม่มีมิตรชั่ว สหายชั่ว หรือคบคนชั่ว
       ๗.  ไม่ถึงความนอนใจในระหว่าง เพราะการบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๓
       ๑.  เป็นผู้มีศรัทธา
       ๒.  เป็นผู้มีใจประกอบด้วยหิริ
       ๓.  เป็นผู้มีโอตัปปะ
       ๔.  เป็นพหูสูต
       ๕.  เป็นผู้ปรารถนาความเพียร
       ๖.  เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
       ๗.  เป็นผู้มีปัญญา
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๔
       ๑.  เจริญสติสัมโพชฌงค์
       ๒.  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
       ๓.  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์
       ๔.  เจริญปิติสัมโพชฌงค์
       ๕.  เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
       ๖.  เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
       ๗.  เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อปริหานิยธรรม ๗ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๕
       ๑.  เจริญอนิจจสัญญา
       ๒.  เจริญอนัตตสัญญา
       ๓.  เจริญอสุภสัญญา
       ๔.  เจริญอาทีนวสัญญา
       ๕.  เจริญปหานสัญญา
       ๖.  เจริญวิราคสัญญา
       ๗.  เจริญนิโรธสัญญา
อปริหานิยธรรม ๖ สำหรับพระภิกษุ นัยที่ ๕
       ๑.  เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๒.  เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๓.  เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
       ๔.  แบ่งปันลาภอันเป็นธรรมที่ได้มาโดยธรรม แก่เพื่อนพรหมจรรย์
       ๕.  มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ
       ๖.  มีทิฐีเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น